9 มกราคม 2007 สตีฟ จ็อบส์ เปิดตัว iPhone ครั้งแรกในงาน Macworld 2007เขาบอกว่ามันคือ “คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เราพกใส่กระเป๋ากางเกงไปไหนมาไหนได้”
ถ้ามองจากตอนนั้นในยุคที่เรายังใช้พีซีและโน้ตบุ๊กเครื่องหนาเตอะ สิ่งที่เขาพูดอาจจะฟังดูทะเยอทะยานมากไปหน่อย แต่มาถึงวันนี้ เรารู้แล้วว่าวิสัยทัศน์ที่เขาเห็นนั้นถูกต้อง iPhone คือคอมพิวเตอร์เครื่องจิ๋วที่เราพกติดตัวได้สบายๆ และเหนือสิ่งอื่นใดคือมันได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเราทั้งวิธีการสื่อสาร รูปแบบการทำงาน และวิถีการใช้ชีวิตของมนุษย์ไปตลอดกาล…
และหากพูดถึงมือถือที่ได้การยอมรับจากทั่วโลก ในความสามารถในการใช้งาน ทั้งการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และมัลติมีเดียต่างๆ และขึ้นชื่อว่าเป็นสมาร์ทโฟน ที่สามารถใช้งานและการดีไซน์อย่างลงตัว เชื่อว่าหลายคนก็ต้องนึกถึงมือถือจาก Apple อย่าง iPhone กันบ้างแหละ ตั้งแต่ที่ iPhone 1 (iPhone 2007) ที่เปิดตัวออกมารุ่นแรก จนมาถึง iPhone 12 ในปัจจุบันนี้ และกำลังจะมีรุ่นใหม่ที่เป็น iPhone 13 เราจะย้อนรอยกลับไปดูกันว่า ตั้งแต่ไอโฟน 1 ที่เปิดตัวจนถึงตอนนี้ มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง ถ้าพร้อมเลย ไปดูกันเล้ยยยย!!!
iPhone 1 (ไอโฟน รุ่นแรก 2007, iPhone 2G)
มาเริ่มกันที่ไอโฟนรุ่นแรกกันก่อนเลย ซึ่งรุ่นนี้จริงๆ แล้วเรียกว่า iPhone เฉยๆ แต่เมื่อมีหลายรุ่นตามออกมา จึงจำเป็นต้องมีชื่อเรียกที่แตกต่างไปจากไอโฟนเฉยๆ โดยบางคนอาจจะเรียกว่า iPhone 2G, iPhone รุ่นแรก หรือ iPhone 1 ก็แล้วแต่การเรียกของแต่ละคนเลย แต่เราขอใช้คำว่า iPhone 1 ก็แล้วกัน จะได้ง่ายต่อการเข้าใจ โดยรุ่นนี้เป็นรุ่นที่เปิดตัวออกมาครั้งแรกตอนวันที่ 9 มกราคม ปี 2007 และสำหรับใครที่เคยใช้งานในช่วงเวลานั้น จะพบว่าเป็นมือถือที่หน้าตาแปลกมาก และไม่เหมือนกับใครในยุคนั้นเลย (ยุค Blackberry, Nokia) ซึ่งการดีไซน์ในตอนนั้นจะมีเพียงแค่หน้าจอที่ว่างเปล่า มีเพียงปุ่ม Home เพียงปุ่มเดียวบนหน้าจอ และทุกอย่างจะใช้การ Touch Screen หมด สเปคของรุ่นนี้คือหน้าจอที่เป็น LCD กับความละเอียดเพียง 320 x 480 pixels เท่านั้น แต่ด้วยการดีไซน์และสเปคการใช้งานที่แปลกใหม่ จึงทำให้ iPhone 1 ตัวนี้เป็นนวตกรรมที่มาเขย่าวงการมือถือทั้งหมดเลยทีเดียว ราคาตอนนี้ถ้าเป็นเครื่องใหม่ๆ ใน Ebay ประมูลขายได้สูงสุด 892,251 บาท
iPhone 3G
ไอโฟนรุ่นต่อมาจาก iPhone 1 รุ่นนี้ ได้ถูกพัฒนาออกมาให้มีความโค้งมน ดูมีสไตล์และทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยรุ่นนี้ได้เปิดตัวขึ้นในปีถัดมาคือปี 2008 กับสเปคที่ยังคงคล้ายคลึงกับไอโฟนรุ่นแรกมาก ทั้งหน้าจอ ขนาดความกว้าง และสเปคภายในที่เหมือนกันแทบจะทุกอย่างเลย จะไปมีความต่างก็ตรงที่ว่า ไอโฟนรุ่นที่ 2 นี้เพิ่มการเชื่อมต่อ ที่เหนือกว่าไอโฟนรุ่นแรก และไอโฟนรุ่นที่สามารถเชื่อมต่อ 3G ได้เครื่องแรกอีกด้วย นอกจากนี้ความพิเศษของไอโฟนรุ่นที่ 2 ก็คือการเพิ่ม App Store เข้ามาอยู่ในเครื่อง เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแอปฯ มาใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นเกม หรือแอปฯ อื่นๆ อีกเยอะมาก ที่สำคัญคือมีสีเคสมาให้เลือกกันแล้ว ได้แก่สีดำ และสีขาว (Outer Casing) รุ่นนี้ตอนที่เปิดตัวและวางขาย เท่าที่จำได้ตอนนั้นประเทศไทย จะยังไม่ได้เอามาวางขาย ต้องนำเครื่องมาจากต่างประเทศ และมาปลดล็อคการใช้งานอีกที แน่นอนว่ายังไม่ได้ดังในประเทศเราเท่าไหร่นักด้วย
iPhone 3GS
ไอโฟนรุ่นแรก ที่นำเข้ามาขายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย และเป็นช่วงยุคแรกๆ ที่เราได้เริ่มรู้จักไอโฟนกัน โดยรุ่นนี้ได้เปิดตัวออกมาในปี 2009 ซึ่งหลังจากรุ่นนี้ได้นำมาวางขายอย่างเป็นทางการ ก็ทำให้หลายๆ คนที่ใช้มือถือเดิมๆ อยู่ หันมาลองใช้ไอโฟนกันบ้าง แต่รุ่นนี้ก็ยังคงคอนเซปต์การออกแบบเหมือนเดิมอยู่ ที่ยังคงเป็นแบบโค้งมน แต่มีสีให้เลือกแล้วคือสีดำ และสีขาว ที่สำคัญคือการอัพเกรดให้รุ่นนี้ด้วยชิปตัวใหม่ ที่เร็วและแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าเป็นอย่างมาก จึงได้ใช้ชื่อว่า iPhone 3GS ที่ “S” นั้นย่อมาจากคำว่า Speed นั่นเอง นอกจากความแรงของสเปคที่เพิ่มเข้ามาแล้ว ยังมีการเพิ่มแอปฯ เข็มทิศ กล้อง ที่สามารถกดโฟกัสได้ด้วยการแตะบนหน้าจอ กับการถ่ายวิดีโอ และการสั่งงานด้วยเสียงเพิ่มเข้าไปด้วย จึงทำให้รุ่นนี้เริ่มเหนือกว่าคู่แข่งที่มีอยู่ก่อนหน้า และเริ่มตีตลาดมือถือเข้ามาเรื่อยๆ
iPhone 4
ไอโฟนรุ่นต่อมาที่เปิดตัวเมื่อปี 2010 รุ่นที่ 4 นี้ จะบอกว่าเป็นมือถือ รุ่นที่เข้ามาเขย่าวงการมือถือพกพาอย่างแท้จริงเลยก็ว่าได้ เพราะรุ่นนี้ได้เปลี่ยนโฉมหน้าตาของรุ่นเดิมออกไปหมดเลย จากที่เป็นแบบโค้งมน ในรุ่นนี้ได้เปลี่ยนใหม่เป็นแบบเหลี่ยม ที่มีวัสดุเป็นสแตนเลสแทน ทำให้ตัวเครื่องบางลงด้วย พร้อมกับความละเอียดของหน้าจอที่มากขึ้น ที่ใช้เป็นแบบ Retina Display ให้สีสันที่สมจริง จนถือได้ว่าสูงสุดแล้วในตอนนั้นก็ว่าได้ ส่วนชิปของตัวนี้ ก็ได้เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด โดยใช้เป็นชิปของ Apple เอง ที่เร็วและแรงกว่าเดิมขึ้นไปอีก พร้อมกับกล้องหน้าที่สามารถ Facetime ผ่าน Wi-Fi ใส่เข้ามาเป็นรุ่นแรกของไอโฟนเลย ส่วนกล้องหลังก็ได้เพิ่มความละเอียดให้มากขึ้นกว่าเดิม รุ่นนี้เป็นรุ่นที่คนใช้งานกันเยอะมากๆ ถ้าใครที่ใช้ทันตอนออกมาใหม่ๆ จะรู้ได้เลยว่ามันฮิตจนทำให้แบรนด์อื่นๆ ดับกันมาแล้ว
iPhone 4S
ไอโฟนรุ่นต่อมา นับตั้งแต่ iPhone 1 จนถึงก่อน iPhone 4S รุ่นนี้ที่ Steve Jobs ได้สร้างขึ้นมา แต่ก็ได้เสียชีวิตลงก่อนที่จะได้เปิดตัวในปี 2011 หลายคนจึงคิดว่าชื่อ iPhone 4S นี้ได้ใส่ตัว “S” เข้าไปเพื่อเป็นการ Tribute ให้แก่ Steve Jobs ด้วย แต่ความจริงแล้วก็น่าจะใส่เข้าไปเพราะรุ่นนี้ ได้เปลี่ยนสเปคภายในใหม่ทั้งหมด ทั้งชิปที่ทำให้เครื่องเร็วแรงขึ้น กล้องที่มีความละเอียดมากขึ้น และถ่ายวิดีโอแบบ Full HD ได้แล้วด้วย และที่เด่นที่สุดก็คงต้องเป็น Siri ที่ได้เปิดตัวออกมาครั้งแรก และเป็นตัวช่วยให้เราได้ใช้งานไอโฟนง่ายขึ้น จนถึงปัจจุบันในรุ่นนี้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าสเปคภายในของรุ่นนี้ได้เปลี่ยนไปเยอะมาก แต่ภายนอกกลับไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเท่าไหร่นัก ทั้งการดีไซน์ และรูปแบบของตัวเครื่อง จะมีเปลี่ยนไปก็คือเพิ่มขีดขึ้นมาเหนือปุ่มเปิด – ปิดเสียงเท่านั้น (จุดสังเกตของทั้งสองรุ่นเลย) นอกจากนี้ยังเพิ่มฟีเจอร์เข้ามาอีกเช่น iCloud, iMessage ฯลฯ
iPhone 5
หลังจากที่หมดยุคของ Steve Jobs ลงตั้งแต่ iPhone 1 ถึง iPhone 4 หลายๆ คนก็มองว่าไอโฟนอาจจะทำออกมาได้ไม่ดีเท่าของเก่า ซึ่งตอนนั้นได้กลายเป็นข้อกังขาของใครหลายๆ คนอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะ iPhone 5 ที่ออกมาในปี 2012 และได้เปลี่ยนหน้าตา และการดีไซน์ของรุ่นนี้ใหม่ทั้งหมด โดยวัสดุส่วนใหญ่จะใช้เป็นอลูมิเนียม ทำให้ตัวเครื่องนั้นบางลงไปอีก แต่ก็ยังคงมีความเหลี่ยมๆ เหมือนของเดิมอยู่ หน้าจอที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีความละเอียดเพิ่มขึ้นระดับหนึ่งเลยทีเดียว พร้อมกับสเปคภายในที่เสริมแต่งความแรงด้วยชิปตัวใหม่ และเพิ่มฟีเจอร์ให้ใช้งานกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อที่ต่อ 4G LTE, ใช้สาย Lightning, แอปฯ Apple Maps, หูฟัง Earpods ส่วนกล้องหลังยังเหมือนเดิม แต่เพิ่มความละเอียดกล้องหน้าขึ้นมาอีก เพื่อให้เซลฟี่ หรือ Facetime (ผ่านเน็ตมือถือ) ได้อย่างชัดเจนกันมากขึ้น
iPhone 5S
กลับมาทวงบัลลังก์คืนอีกครั้งด้วย iPhone 5S ที่เปิดตัวมาพร้อมกับ iPhone 5C ในปีเดียวกันคือปี 2013 ซึ่งถ้าดูเผินๆ แล้วก็ดูเหมือนไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไหร่นัก เพราะภายนอกจะเพิ่มมาแค่สี กับตัวแฟลชของกล้องหลังที่เปลี่ยนไปเป็นแบบ Dual LED กับฟีเจอร์กล้องที่สามารถถ่ายแบบ Slow Motion ได้แล้ว แต่สเปคความละเอียดของกล้องหน้า และกล้องหลังยังคงเท่าเดิมเหมือน iPhone 5 ส่วนชิปก็ได้เปลี่ยนไปเป็นตัว Apple A7 ที่เป็นแบบ 64-bit ตัวแรกของโลกในตอนนั้น แน่นอนว่ามันเร็วขึ้นมากๆ เร็วกว่ารุ่นเดิมถึง 40 เท่าเลยทีเดียว จุดเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเดิมจาก iPhone 1 ก็คือปุ่ม Home ที่สามารถใช้งาน Touch ID ได้รุ่นแรก ซึ่งไม่จำเป็นต้องใส่รหัสให้เสียเวลาอีกต่อไปแล้ว แค่เพียงใช้ลายนิ้วมือกดปุ่ม Home ก็ปลดล็อคหน้าจอได้แล้ว สะดวกต่อการใช้งานอย่างเต็มที่
iPhone 5C
รุ่นตัวเล็กที่ราคาเปิดตัวออกมาไม่ได้เล็กเท่าไหร่เลย แต่ก็สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเลือก สำหรับคนที่ชอบสีสันสดใส เพราะรุ่นนี้ได้ทำออกมาให้ใช้งานมากถึง 5 สีคือ สีขาว สีเขียว สีฟ้า สีชมพู และสีเหลือง และใช้วัสดุฝาหลังเป็นพลาสติกทั้งหมด แถมยังเอาสเปคเดิมจาก iPhone 5 มาใส่อีก จะต่างกันก็ที่ฟีเจอร์นิดหน่อย ช่วงที่รุ่นนี้ออกมาใหม่ๆ เลยทำให้หลายคนไม่ค่อยอินกับรุ่นนี้ และไปซื้อ iPhone 5S หรือ iPhone 5 แทนจะดีกว่า แต่สำหรับคนที่ชอบสีสัน และเบื่อกับรูปแบบเดิมๆ ของไอโฟนที่ผ่านๆ มา ก็มีหลายคนไปลองซื้อมาใช้งานอยู่เหมือนกัน โดยรวมแล้วคือเป็นรุ่นที่มีสีสวยงามดี
iPhone 6 & iPhone 6 Plus
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาอีกครั้งในปีถัดมา นับตั้งแต่ iPhone 1 จนถึง iPhone 5S ที่มีรูปแบบการดีไซน์ไปแล้ว 1 ครั้ง แต่ในปี 2014 ได้เปลี่ยนการดีไซน์ตัวเครื่องใหม่ให้เป็นแบบโค้ง แต่ไม่ได้โค้งแค่ข้างหลังอย่างเดียว รุ่นนี้จะเป็นแบบโค้งแค่ตรงขอบ และหน้าหลังนั้นเรียบ แถมยังทำให้ตัวเครื่องเบาและบางกว่าเดิมมาก แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ก็คือความกว้างของหน้าจอ ที่ได้เพิ่มมาเป็น 4.7 นิ้วในรุ่นปกติ และเพิ่มอีกเป็น 5.5 นิ้วในรุ่น 6 Plus แน่นอนว่าการเปลี่ยนหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ผู้ใช้งานเดิมบางส่วนก็มองว่าหน้าจอมันใหญ่เกินไป ถือเล่นยาก และที่สำคัญคือความบางของตัวเครื่อง ทำให้ผู้ใช้งานพบปัญหาเครื่องงอเมื่อใส่ในกระเป๋ากางเกง จนต้องเปลี่ยนวัสดุกันใหม่เลย นอกจากนี้ยังได้เพิ่มฟีเจอร์ NFC เข้ามาให้ใช้งานกับ Apple Pay ในรุ่นนี้ได้แล้วด้วย และกล้องยังความละเอียดเท่าเดิมแต่รุ่น 6 Plus จะมีระบบกันสั่นแบบ OIS เพิ่มเข้ามา
iPhone 6S & iPhone 6S Plus
ยังคงคอนเซปต์เดิม ที่เปิดตัวใหม่ออกมาเป็นรุ่นที่เร็วแรงกว่าเดิม และใส่ S เข้าไปในรุ่นนั้นในปีต่อมาคือปี 2015 ที่ยังคงมีการดีไซน์ที่เหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้เลย ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ถ้าดูจากภายนอก แต่ความจริงแล้วรุ่นนี้จะมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพราะเปลี่ยนมาใช้ Aluminum – 7000 ที่มีความแข็งแรง และไม่ทำให้งอเหมือนกับรุ่นก่อนด้วย แถมสเปคภายในก็ได้เปลี่ยนเป็นชิปที่แรงขึ้น และใช้หน้าจอแบบใหม่ ที่เป็นแบบ 3D Touch สามารถแยกน้ำหนักจากการกดใช้งานได้ และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานด้วย Touch ID Gen 2 ส่วนกล้องหลังนั้นได้เพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น โดยสามารถถ่ายวิดิโอได้ถึง 4K กันเลย กล้องหน้าก็เพิ่มมาไม่แพ้กัน และยังมี Retina Flash ที่ถ่ายเซลฟี่ได้ไม่ต้องกลัวมืด และด้วยการอัพเกรดใหญ่แบบนี้ รุ่นนี้จึงได้รับความนิยมสูงพอสมควรเลยในตอนนั้น
iPhone SE
ผ่านมาหลังจากรุ่นใหญ่ได้เปิดตัวกันออกไป จู่ๆ ก็มีรุ่นน้องเล็กย้อนยุคออกมาตอนต้นปี 2016 ทั้งหน้าตาและการดีไซน์ภายนอก ที่หลายคนเห็นก็ต้องบอกว่ามันคือ iPhone 5S ชัดๆ แต่ที่ทาง Apple ทำรุ่นเล็กออกมานี้ ก็เป็นความตั้งใจที่จะให้รุ่นนี้นั้น สามารถจับต้องได้ง่าย ด้วยราคาที่ไม่แพง และเอาใจผู้ที่ชอบใช้งานมือถือเครื่องเล็กๆ ไม่ได้อยากใช้หน้าจอใหญ่ แถมยังได้อิทธิพลจากรุ่นใหญ่มาแบบจัดเต็ม จึงทำให้รุ่นนี้ดูเหมือนว่าจะเล็ก แต่ความจริงแล้วไม่เล็กอย่างที่คิดเลย ทั้งชิป และสเปคของกล้อง แน่นอนว่าของดีและราคาถูกขนาดนี้ เมื่อเปิดตัวออกมารุ่นนี้จึงขายดีมากๆ จน Apple ต้องเพิ่มยอดขาย ด้วยการปรับความจุที่มากขึ้น รองรับการใช้งานกับทุกคน
iPhone 7 & iPhone 7 Plus
ในปีเดียวกันนั้น ก็ได้เปิดตัวรุ่นใหม่มาอีกรุ่นคือ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ที่การดีไซน์ภายนอกนั้น ก็ยังคงมีความคล้ายคลึงกับรุ่นก่อนอยู่เหมือนกัน จะมีต่างกันถ้าดูเผินๆ ก็คือรุ่นนี้ได้มีการซ่อนแถบเสาอากาศด้านหลังออกไป แต่ถ้าใส่เคสปิดไปก็แยกแทบไม่ออกเลย นอกจากจะเป็นตัว iPhone 7 Plus ที่มีกล้องหลังแบบคู่ ซึ่งเป็นรุ่นแรกของ iPhone ด้วยเช่นกัน ที่มีกล้อง 2 ตัวแล้ว นอกจากนี้ยังมีสีใหม่คือสีดำเงา Jet Black และสีแดง RED (เฉพาะรุ่นสูงๆ เท่านั้น) มีการปรับปุ่ม Home แบบใหม่ และมีสีสันที่มากขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้รุ่นนี้เป็นที่พูดถึงเลยก็คือ การนำช่องเสียบหูฟังออก และต้องใช้ลำโพงแทน แต่ได้เพิ่มการกันฝุ่นกันน้ำแบบ IP 68 เข้ามาแทนเป็นรุ่นแรกของไอโฟนด้วย และด้วยกระแสที่ไปในทางที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ รุ่นนี้จึงไม่ค่อยฮอตฮิตเท่ารุ่นก่อนหน้านี้เลย
iPhone 8 & iPhone 8 Plus
หลังจากที่ทาง Apple ได้ปล่อย iPhone 7 ออกมาและผลตอบรับไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก อีกปีถัดมาก็ได้เปิดตัว iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ขึ้นในปี 2017 และได้เปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างจากรุ่นเดิม ถ้าไม่รวมการดีไซน์ที่ยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่นะ สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างแรกเลยก็คือชื่อที่ไม่มีซีรีส์ “S” อีกต่อไปแล้ว และก็ได้เปลี่ยนวัสดุภายนอกทั้งหมดด้วย เพื่อให้ตัวเครื่องนั้น สามารถชาร์จแบตแบบไร้สายได้รุ่นแรก ตั้งแต่ iPhone 1 ที่ต้องใช้สายเลย นอกจากนี้ก็ยังได้ชิปตัวใหม่ที่เร็วกว่าเดิมใส่เข้าไปด้วย และเป็นรุ่นสุดท้ายที่มีปุ่ม Home ซึ่งรุ่นนี้ในตอนแรกที่เปิดตัวออกมา ไม่ค่อยจะเป็นที่นิยมมากนัก เพราะว่ามีข่าวลือว่าในปีนั้น จะมีไอโฟนเปิดตัวมาถึงสองรุ่นในปีเดียวกัน คนที่ใช้งานจึงรอให้ตัวใหม่ออกมาก่อน แล้วค่อยตัดสินใจซื้อ แต่ในปัจจุบัน iPhone 8 Plus เป็นที่นิยมมากๆ สำหรับคนที่แคสเกม เพราะมีหน้าจอที่พอดี และสเปคเครื่องที่ยังแรงอยู่นั่นเอง
iPhone X
ในปีเดียวกันคือ 2017 นั้น ไอโฟนก็ได้เปิดตัวมาใหม่อีกรุ่น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกรอบจากเดิมตั้งแต่ไอโฟน 1 ที่เคยมีปุ่ม Home มาให้ใช้งานกันอย่างยาวนาน แต่ในรุ่นนี้ (ข้ามจากรุ่นที่ 9 มาด้วย มาเป็น 10 เลย) ไม่มีปุ่ม Home มาให้แล้ว และเป็นหน้าจอล้วนๆ พร้อมกับแถบดำที่เป็นแถบเล็กๆ ข้างบนหน้าจอเท่านั้น เพื่อให้ได้รับหน้าจอแบบเต็มที่มากขึ้น โดยไม่มีขอบอะไรมารบกวนการใช้งาน ซึ่งการเปิดตัวเพียงรุ่นเดียวนี้ ก็อาจจะเป็นเพราะว่าได้เปิดตัวรุ่นที่ 8 ออกไปก่อนแล้ว จึงไม่มีรุ่นย่อยตามออกมาเลย รุ่นนี้ได้เปลี่ยนหน้าจอใหม่จากเดิมที่เป็น LCD ด้วยนะ ที่สำคัญคือเมื่อเอาปุ่ม Home ออกไปแล้ว สิ่งที่ต้องทิ้งไปด้วยก็คือการสแกนลายนิ้วมือ ที่เปลี่ยนเป็น Facial Recognition หรือการปลดล็อคด้วยหน้าเราแทน (ไม่ได้ใช้กล้องหน้าสแกน) แน่นอนว่าเปิดตัวออกมาใหม่ๆ ก็ต้องโดนพูดถึงเยอะอีกเช่นเคย ส่วนกล้องหน้าและกล้องหลังยังคงเหมือนเดิมอยู่
iPhone XS & iPhone XS Max
ในปีต่อไปทางไอโฟนก็ได้ปล่อยรุ่นใหม่ออกมาในปี 2018 ซึ่งได้เอาชื่อซีรีส์เก่ากลับมาด้วย นั่นก็คือใช้ตัว “S” เข้ามาใส่ในรุ่นอีกครั้ง และก็เหมือนทุกๆ ครั้งที่ยังมีหน้าตาที่ยังคงเหมือนรุ่นเดิม ก่อนที่จะมาเป็นรุ่นที่มี S ถ้ามองจากการดีไซน์ภายนอก ก็คือแทบไม่ต่างอะไรจากกันเลย แต่ที่จะต่างไปก็คือในรุ่น iPhone XS Max ที่ทำหน้าจอออกมาได้ใหญ่มากๆ ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยด้วย นอกจากนี้สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างก็คือกล้อง ที่สามารถถ่ายได้ดียิ่งขึ้น มาพร้อมโหมด HDR อัจฉริยะ และกล้องหน้าที่มีความละเอียดเท่าเดิมทั้งหมด ส่วนชิปเซ็ตของรุ่นนี้ก็ได้เพิ่มมาใหม่ให้เร็วแรงขึ้น พร้อมกับ RAM ที่เหนือกว่าทุกรุ่นที่ผ่านมาเลยด้วย สำหรับรุ่นนี้แล้วค่อนข้างได้รับความนิยมด้วย เพราะสเปคเครื่องที่แรง และหน้าจอที่ใหญ่จุใจคนใช้งานเป็นอย่างมาก และกังเปิดตัวมาพร้อมกับอีกรุ่น ซึ่งเป็นรุ่นรองให้คนได้เลือกซื้อกันคือ iPhone XR
iPhone XR
รุ่นต่อมาเป็นรุ่นที่เปิดตัวออกมาพร้อมกันกับรุ่นใหญ่ในปี 2018 ที่เหมือนว่าจะทำออกมาให้คล้ายๆ กับ iPhone 5C ที่มีสีสันสวยงาม พร้อมกับการลดสเปคลงเล็กน้อย เพื่อให้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น กับราคาที่คนหวังว่าจะประหยัด แต่เปิดตัวออกมาแล้ว ก็คล้ายกับ iPhone 5C จริงๆ เพราะราคาไม่ได้ประหยัดออย่างที่คิดเลย แต่ก็ยังกลายเป็นรุ่นที่ยังขายดี และทาง Apple ก็ยังวางขายอยู่บนหน้าเว็บมาจนถึงปัจจุบันนี้เลยด้วย หน้าจอของรุ่นนี้ได้ลดลงมาเป็นแบบ LCD และนอกจากจะลดสเปคหน้าจอลงแล้ว ยังลด RAM ให้กลับไปเท่ากับ iPhone X อีกด้วย ยังดีที่ได้ชิปตัวใหม่ของ A12 มาให้ใช้งานอยู่ ส่วนกล้องหลังรุ่นนี้ได้กล้องเป็นตัวเดียว ไม่ใช่กล้องคู่เหมือนรุ่นใหญ่
iPhone 11 & iPhone 11 Pro & iPhone 11 Pro Max
เดินมาถึงรุ่นยอดฮิตอีกหนึ่งรุ่น ที่เปิดตัวออกมาในปี 2019 และเปิดตัวพร้อมกันทีเดียวทั้งหมด 3 รุ่นเลย นั่นก็คือไอโฟน 11, ไอโฟน 11 โปร และไอโฟน 11 โปร แมกซ์ ซึ่งทั้งสามรุ่นนี้ ถ้าดูจากการดีไซน์ภายนอกจะเห็นได้ว่าหน้าตาของกล้องหลังนั้น ได้เปลี่ยนออกไปอย่างสิ้นเชิง จากรูปแบบเดิมที่เคยผ่านมา โดยในรุ่นปกตินั้นจะมีกล้องมาให้แค่สองตัว ไม่มีเลนส์เทเลโฟโต้ใส่มาให้ แต่เป็นเลนส์อัลตร้าไวลด์แทน และมีหน้าจอเป็นแบบ LCD ต่างจากอีกสองรุ่นใหญ่ ที่มีกล้องหลังมาให้แบบจัดเต็มถึง 3 ตัว และหน้าจอที่เป็น OLED ส่วนกล้องหน้า และกล้องหลังทุกรุ่นมีความละเอียดเท่ากันหมด แต่มีฟีเจอร์เป็น Night Mode ที่ถ่ายออกมาได้สวยงามสุดๆ นอกจากนี้ยังมีกันสั่น OIS และกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 อีกด้วย แถมชิปเซ็ตของรุ่นนี้ที่ออกมานั้น แรงกว่าทุกรุ่นทุกชิปที่มีอยู่ในตอนนั้นด้วย สุดท้ายคือวัสดุในรุ่นปกติที่เป็นอลูมิเนียม แต่ถ้าในรุ่นโปร จะใช้วัสดุเป็นสแตนเลสสตีลที่มีความแข็งแรงกว่า
iPhone 12, iPhone 12 mini, iPhone 12 Pro, iPhone 12 Pro Max
ตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2007 นั้นก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลากหลายครั้ง และครั้งนี้ในปี 2020 ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง สำหรับการดีไซน์ตัวเครื่อง หลังจากที่ใช้แบบโค้งมนมาหลายรุ่น ในรุ่น ไอโฟน 12 นี้ ก็ได้เปลี่ยนกลับไปเหมือนกับ iPhone 4 อีกครั้ง แต่มีหน้าจอที่เต็มจออยู่เหมือนเดิม ทำให้รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ทำออกมาได้สวยมากๆ และยังเพิ่มสีสันให้ตัวเครื่องให้ดูดีมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับสองรุ่นในรุ่นเริ่มต้นนี้ จะใช้วัสดุหน้าจอเป็น Ceramic Shield ที่มีความแข็งแรงมาก ส่วนด้านหลังจะเป็นแบบกระจก และอะลูมิเนียม ในเรื่องของกล้องนั้นต้องบอกว่าในรุ่นนี้แค่รุ่นเริ่มต้น ก็ทำออกมาได้เทพแล้ว โดยให้มาใช้งานกันถึง 2 กล้อง และถ่ายวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision มากถึง 4K กล้องหน้าก็ทำออกมาได้ดีเยี่ยมได้แพ้กันเลย สามารถถ่ายกลางคืนได้จบครบทุกจุด ที่สำคัญของรุ่นนี้เลยก็คือ สามารถเชื่อมต่อ 5G ได้เต็มตัวแล้ว ส่วนในรุ่นโปรขึ้นไปนั้น จะมีกล้องมากถึงสามตัว และสามารถใช้ไฟล์ Apple ProRAW ได้ พร้อมกับมี LiDAR สำหรับการถ่ายภาพตอนกลางคืน ที่สามารถเก็บได้ครบหมดเลย พร้อมกับวัสดุที่เป็นแบบกระจกผิวด้าน และสแตนเลสสตีลที่สวยจริง ถ้าใครได้เห็นของจริงแล้วจะรู้เลยว่าสวยมากๆ นอกจากนี้ยังมี MagSafe สำหรับการชาร์จไร้สาย และรองรับ Fast Charging อีกด้วย
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก : https://specphone.com/web/generations-of-iphone-1-iphone-12-and-spec/312003